ตามจดหมายของ หลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2496 เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เ์จ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปตรวจดูเรือราชพิธีที่โรงเก็บเรือคลองบางกอกน้อย ครั้นเวลาเสด็จกลับผ่าน มาทางหลังป่าช้าวัดระฆังโฆสิตาราม ถนนบ้านขมิ้น มีงานเผาศพ ร.ต.แพ ฯ เสด็จในกรม ฯ เห็นศพตั้งอยู่เชิงตะกอนอย่างสามัญชนมีทหารและญาตประมาณ 10 กว่าคน ทรงพิจารณาอยู่รู้สึกเศร้าสลดพระทัยจึงสั่งห้ามยัง ไม่ให้เผา และทรงเขียนคำสั่งด้วยดินสอลงบนกระดาษให ้ร.ต.เล่ ฯ คนใช้ของเสด็จในกรม ฯ ไปให้ เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ มีใจความว่า 1. ให้กองพันพาหนะจัดเต็นท์มากาง เอาเก้าอี้มาตั้ง 2. ให้กองตั้งเครื่อง กรมพัสดุ จัดน้ำร้อนน้ำชาและเครื่องดื่มมาเลี้ยง 3. ให้นายทหารและพลทหารใน เรือรบ เรือช่วยรบ และทหารบกทุกเหล่า ที่ไม่ ได้อยู่เวรไปเผาศพ 4. ให้กองพันจัดทหารและแตร เป็นกองเกียรติยศไปเป่าและเคารพศพเวลาเผา ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมงเศษจวนจะ 4 โมง ข้าราชการส่วนใหญ่กำลังจะกลับบ้านเมื่อได้รับคำสั่งต่างฝ่ายต่างรีบด่วนไปจัดการตามหน้าที่ วันนั้นงานศพของ ร.ต.แพ ฯ จึงเป็นงานศพที่มีเกียรติยศ มีทหารไปร่วมงานเต็มวัด โดยมี เสด็จในกรม ฯ ทรงเป็นประธานพระราชทาน เพลิงศพ แล้วเสด็จกลับ ในวันต่อมาทรงอนุญาตให้ตั้งแผนกการกุศลฌาปนกิจขึ้นในราชนาวิกสภาอีกแผนกหนึ่ง คณะกรรมการอำนวยการราชนาวิกสภา จึงได้เชิญชวนสมาชิกบริจาคทรัพย์ และออกระเบียบว่าด้วยเงินบำรุงการกุศลฌาปนกิจในราชนาวี และกราบทูลเสด็จในกรมฯ ทรงทราบ และโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งแผนกการกุศลฌาปนกิจ เมื่อ 15 ตุลาคม 2465 จึงถือได้ว่า การฌาปนกิจสงเคราะห์แห่งราชนาวีกำเนิดขึ้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เสด็จในกรม ฯ ทรงเป็นสมาชิกหมายเลข 15 และเป็นสมาชิกพระองค์แรกที่สิ้นพระชนม์เป็นพระศพแรก เมื่อ 19 พฤษภาคม 2466 ต่อมาได้มีการตรากฎหมายเป็น พ.ร.บ.ฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 กำหนดให้ใช้ทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ในเรื่องการสงเคราะห์ที่ชัดเจนตามมาตรา 4 คือ การฌาปนกิจสงเคราะห์ หมายความว่า " กิจการที่บุคคลหลายคนตกลงเข้าร่วมกันเพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพ หรือจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของบุคลใดบุคคลหนึ่งที่ตกลงเข้าร่วมกันนั้นซึ่งถึงแก่ความตาย และมิได้ประสงค์ จะหากำไรเพื่อแบ่งปันกัน" ปัจจุบันมีการแก้ไขเป็น พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2545
|